กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยมีบทบาทสำคัญในการล้างสารพิษในตับ ต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันกลูตาไธโอนยังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มคนที่ใส่ใจเรื่องผิวพรรณ เพราะมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
กลูตาไธโอนมีกี่ประเภท?
กลูตาไธโอนมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
- Reduced Glutathione (GSH): เป็นรูปแบบที่ร่างกายสามารถใช้งานได้จริง นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง
- Oxidized Glutathione (GSSG): เป็นรูปแบบที่ผ่านกระบวนการออกซิไดซ์แล้ว ต้องเปลี่ยนกลับเป็น GSH ก่อนร่างกายจึงจะใช้ได้
ประโยชน์ของกลูตาไธโอน
- ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
- ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดัน และมะเร็ง
- ดีท็อกซ์ล้างพิษตับ
- สนับสนุนการทำงานของตับในการกำจัดสารพิษ โลหะหนัก และสารเคมีจากอาหารหรือยา
- เสริมภูมิคุ้มกัน
- กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น
- ผิวกระจ่างใส
- กลูตาไธโอนมีบทบาทในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวดูขาวขึ้นอย่างปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ
- ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ
- ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ ลดเลือนความหมองคล้ำจากแสงแดดและวัย
กลูตาไธโอนควรกินเวลาไหน?
แนะนำให้รับประทาน ตอนเช้าขณะท้องว่าง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีที่สุด หรือรับประทานพร้อมวิตามิน C ซึ่งจะช่วยเพิ่มการดูดซึมกลูตาไธโอนได้ดียิ่งขึ้น
ข้อควรระวังในการใช้กลูตาไธโอน
- ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย.
- หลีกเลี่ยงการฉีดกลูตาไธโอนเอง เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรง
- หญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
สรุป
กลูตาไธโอน ไม่ได้มีดีแค่เรื่องผิวพรรณ แต่ยังเป็นหนึ่งในสารที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม ด้วยคุณสมบัติในการล้างสารพิษ ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมภูมิคุ้มกัน หากเลือกใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน ก็สามารถเป็นตัวช่วยที่ดีในการดูแลสุขภาพและความงามได้อย่างปลอดภัย